การจัดองค์การ ( Organizing)
นักทฤษฎีองค์การทั้งหลายพยายามที่จะออกแบบองค์การ
เพื่อรวบรวมเอาพนักงานทั้งหลายขององค์การที่จะต้องทำงานร่วมกัน และมีความจำเป็นที่จะต้องประสานงาน เพื่อให้งาน
ได้รับมอบหมายบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
ซึ่งการจัดองค์การถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการบริหารการจัดการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานบางอย่างไม่สามารถทำเพียงคนเดียวได้ หลาย ๆ
คนจำต้องรวมตัวกันเป็นกลุ่มที่เรียกว่า
“ องค์การ ”
ดังที่ CHESTER I BARNARD
กล่าวว่า
องค์การเป็นระบบของการร่วมมือร่วมใจของมนุษย์
ดังนั้น การจัดองค์การก็เพื่อให้โครงสร้างของกลุ่มคน และกลุ่มตำแหน่งงานต่าง ๆ
ที่จะไปรองรับกับแผนงานที่กำหนดไว้
และเป็นโครงสร้างที่จัดขึ้น
เพื่อประสานให้ทุกฝ่ายเข้าใจได้ดี
ช่วยลดความซ้ำซ้อนผู้บริหารจึงจำเป็นต้องจัดองค์การให้มีลักษณะที่สมดุลเพื่อประโยชน์ขององค์การ
ความหมายของการจัดองค์การ
การจัดองค์การ (Organizing) คือ กระบวนการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่าง
คนงานและกิจกรรมต่างๆขององค์การเพื่อที่จะก่อให้เกิด
การใช้ทรัพยากรขององค์การให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
การจัดองค์การ (Organizing) คือ
การจัดระเบียบกิจกรรมต่าง ๆ ในองค์การ และ
มอบหมายงานให้คนปฏิบัติเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย การจัดองค์การที่ดี
จะช่วยให้การบริหารการจัดการมีประสิทธิภาพได้เนื่องจาก
1. ทำให้ทราบขอบเขต ความรับผิดชอบ
และอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ
2. ช่วยป้องกันการทำงานที่ซ้ำซ้อน
3. ช่วยประสานงานในหน้าที่ต่าง ๆ
ได้ดี
4.
ช่วยลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างพนักงานในองค์การได้
5.
สามารถแสดงให้เห็นตัวภาระหน้าที่ความรับผิดชอบได้ชัดเจน
6.
ทำให้มีระบบการสื่อสารตามสายการบังคับบัญชาที่ดี
หลักของการจัดองค์การ
หลักสำคัญของการจัดองค์การ ควรมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน, อำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ
, ความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชา , สายบังคับบัญชา , ช่วงการบังคับบัญชา , การประสานงาน , หลักของการทำงานเฉพาะอย่าง และเอกภาพในการบังคับบัญชา
องค์ประกอบของการจัดองค์การจะประกอบไปด้วย การแบ่งงานกันทำ (Division
of work)
การจัดแผนกงาน (Departmentalization) การกระจายอำนาจหน้าที่ (Distribution of
Authority) และการประสานงาน (Co-ordination)การจัดองค์การจะปรากฏขึ้นในรูปแผนภูมิองค์การที่เกิดจากการลากเส้นต่าง
ๆ เพื่อให้เห็นการแบ่งแยกกลุ่มงาน
ผู้รับผิดชอบ ตามลำดับลดหลั่นกันไป
รูป แผนภูมิองค์การ
รูปแผนภูมิองค์การนั้นก็คือ
ความสัมพันธ์ที่เป็นทางการของสมาชิกในองค์การหรือที่เรียกว่า องค์การที่เป็นทางการ (Formal Organization) แต่อย่างไรก็ตามองค์การมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ดังนั้น
สายสัมพันธ์ในองค์การก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
ซึ่งเราเรียกความสัมพันธ์ดังกล่าวว่าองค์การที่ไม่เป็นทางการ (Informal Organization)
องค์การที่ไม่เป็นทางการมีอยู่ทุกแห่ง ซึ่งเป็นองค์การที่เกิดจากความสัมพันธ์ส่วนตัว
มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
รูป องค์การที่เป็นทางการ
และองค์การที่ไม่เป็นทางการ
- องค์การที่เป็นทางการ (Formal Organization) คือ
กลุ่มหรือองค์การที่ถูกกำหนดขึ้นโดยโครงสร้างขององค์การซึ่งมีกฎเกณฑ์
รวมทั้งระบบสายการบังคับบัญชาที่กำหนดขึ้น
- องค์การที่ไม่เป็นทางการ (Informal Organization) คือกลุ่มหรือองค์การที่เกิดจากการ
รวมตัวของปัจเจกบุคคล
โดยอาศัยพื้นฐานทางด้านผลประโยชน์และสายสัมพันธ์ความเป็นเพื่อน
ลักษณะของความสัมพันธ์ภายในจึงไม่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่แน่นอน
การจัดโครงสร้างขององค์การ
หมายถึง
การกำหนดหน่วยงานในแต่ละระดับให้เชื่อมโยงงานเข้าด้วยกัน โดยอาจจะ
เชื่อมโยงงานในลักษณะแนวดิ่ง หรือแนวนอนก็ตาม ให้มีการประสานกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่
ละระดับเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ
ความสำคัญของการออกแบบโครงสร้างองค์การ
เป็นส่วนประกอบที่สำคัญประการหนึ่งของการจัดการที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจาก
เหตุผล 4 ประการคือ
1. เพื่อให้องค์การมีความคล่องตัว
เมื่อองค์การมีขนาดใหญ่ขึ้นรูปแบบขององค์การ
จึงต้องปรับเปลี่ยนไปทำให้มีการกระจายอำนาจไปสู่ผู้บริหารระดับล่างมากขึ้น
2.
รูปแบบขององค์การจะต้องสอดคล้องกับลักษณะของแผนกลยุทธ์ที่องค์การเลือกใช้
เมื่อองค์การมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบแผนกลยุทธ์ที่ใช้
ก็จะต้องมีการปรับเปลี่ยนองค์การ เพื่อให้การดำเนินการตามแผนกลยุทธ์มีประสิทธิภาพ
3.
รูปแบบขององค์การจะแตกต่างไปตามประเภทของงานที่ทำหากมีก
เปลี่ยนแปลงขอบข่ายของงานหรือลักษณะงานที่ทำ
องค์การจึงจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบขององค์การ เพื่อให้สอดคล้องกับขอบข่ายหรือลักษณะของงานที่ทำเช่นกัน
4.เมื่อองค์การมีการพัฒนาเทคโนโลยีแผนกงานบางแผนกอาจจะต้องยุบ
หรือเปลี่ยนลักษณะงานใหม่ จึงจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบขององค์การใหม่
ให้สอดคล้องกับวิวัฒนาการทางด้านเทคโนโลยี
รูประบบการจัดการทรัพยากรมนุษย์
กระบวนการจัดหาบุคคลหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดเป็นหน้าที่ทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในความหมายของ Staffing ประกอบด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. กระบวนการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
2. การสรรหาบุคคล
3. การคัดเลือกบุคคล
4. การบรรจุแต่งตั้ง
5. การฝึกอบรมและการพัฒนา
6. การประเมินผลการปฏิบัติงาน
7. การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งงาน
รูปกระบวนการจัดหาทรัพยากรมนุษย์
กระบวนการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Planning)
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง
กระบวนการวิเคราะห์คาดการณ์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคตขององค์การ โดยให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์การตลอดจนการกำหนดลักษณะของบุคลากรที่เหมาะสมกับงานแต่ละอย่างและเพียงพอที่จะปฏิบัติงานในเวลาหนึ่งเวลาใดอย่างเหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง
การคาดคะเนอย่างเป็นระบบในเรื่องของอุปสงค์ อุปทาน
ของพนักงานขององค์การหรือกระบวนการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าองค์การสามารถหาคนที่มีความรู้ความสามารถ
เข้ามาทำงานตามระยะเวลาที่องค์การต้องการ
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง
กระบวนการคาดการณ์ความต้องการ
ทรัพยากรบุคคลขององค์การเป็นการล่วงหน้าว่าต้องการบุคคลประเภทใดระดับใดจำนวนเท่าใดและต้องการเมื่อใด
ความจำเป็นในการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
สาเหตุความจำเป็นในการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ มีดังนี้คือ
1.สภาวะต่าง ๆ ในการดำเนินงานมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมออย่างรวดเร็วหากองค์การไม่มีการวางแผนกำลังคนเพื่อการรองรับการเปลี่ยนแปลง
ย่อมก่อให้เกิดปัญหาขึ้นได้ เช่น
การขาดอัตรากำลังคนในองค์การ เป็นต้น
2.ปัจจุบันนี้องค์การมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น
องค์การจำเป็นต้องใช้บุคลากร ที่มีความรู้ความสามารถ จึงทำให้ต้องมีการวางแผนกำลังคนเพราะกว่าจะได้บุคลากรที่มีความรู้ ความสามรารถ ต้องพัฒนาฝึกอบรม
ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างมาก
3.ข้อกำหนดและกฎหมายของรัฐ
มีอิทธิพลต่อการดำเนินการบริหารงานบุคคล เช่น กฎหมายแรงงานสัมพันธ์กฎหมายคุ้มครองด้านแรงงานจึงทำให้นักบริหารต้องวางแผนกำลังคนให้เหมาะสม
4.ต้องการให้เกิดความสมดุลระหว่างทรัพยากรบุคคลในตำแหน่งงานต่าง
ๆ กับปริมาณงานที่จะต้องทำในอนาคต
5.ใช้ข้อมูลที่ได้จากการวางแผนทรัพยากรมนุษย์เป็นประโยชน์ในการบริหารการจัดการบุคคลในด้านอื่น
ๆ เช่น การว่าจ้าง การบรรจุแต่งตั้ง การฝึกอบรม การเลื่อนตำแหน่งและการจ่ายค่าตอบแทน
เป็นต้น
6.ช่วยให้การจ้างอัตรากำลังคนใหม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
7.เป็นแนวทางในการสร้างกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์การ
8.ช่วยให้กิจกรรมต่างในด้านอัตรากำลังคนเป็นไปอย่างมีระบบ
กระบวนการในการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ควรพิจารณาขั้นตอนต่าง ๆ ไว้ดังนี้
ขั้นที่ 1 การพิจารณาเป้าหมายและแผนขององค์การ คือ การศึกษาและพิจารณาแผนงานที่องค์การได้กำหนดไว้เพื่อจะนำผลของการศึกษามาจัดวางข้อมูลด้านบุคลากรในอนาคต
ขั้นที่ 2 การพิจารณาสถานการณ์ทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบัน คือ การสำรวจ
และการจำแนกตามประเภทต่าง ๆ เช่น ตามลักษณะงาน เพศ อายุ และการศึกษา เป็นต้น
ขั้นที่ 3 การคาดการณ์ทรัพยากรมนุษย์ เป็นการพิจารณาถึงความต้องการจำนวน
ประเภทของพนักงานที่องค์การต้องการซึ่งต้องพิจารณาโดยละเอียดถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น การโยกย้าย การลาออก การเลื่อน ตำแหน่ง การเกษียณอายุ เป็นต้น
ขั้นที่ 4 การกำหนดแผนการปฏิบัติ เมื่อได้คาดการณ์ทรัพยากรมนุษย์แล้ว
จึงกำหนดออกมาเป็นแผนงานเพื่อปฏิบัติเช่นแผนการสรรหา แผนการคัดเลือก แผนการบรรจุ
แผนการฝึกอบรมเป็นต้น
ขั้นที่ 5 การตรวจสอบและการปรับปรุงขั้นตอนนี้เป็นการตรวจสอบเปรียบเทียบและปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้กระบวนการวางแผนทรัพยากรมนุษย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รูปกระบวนการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
การสรรหาบุคลากร (Recruitment)
การสรรหาบุคลากร
เป็นงานขั้นแรกและเป็นงานที่มีความสำคัญในกระบวนการจัดคนเข้าทำงาน (Staffing) เป้าหมายก็คือ ให้ได้คนที่มีความรู้ความสามารถมาทำงานในองค์การนั่นเองเพราะความสำเร็จขององค์การก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของบุคลากร
ดังนั้น การสรรหาคัดเลือกย่อมต้องรอบคอบ เช่นเดียวกัน
การสรรหา คือ
กระบวนการในการแสวงหาเสาะหาและจูงใจผู้สมัครงานที่มีความรู้ความสามารถให้มาทำงานในองค์การ
การสรรหา คือ กระบวนการในการพยายามเสาะแสวงและจูงใจให้บุคคลที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม
ตามที่องค์การกำหนดไว้ ให้เข้ามาสมัครงานในองค์การ





ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น